ข้อสังเกต กฎหมายไทยกับการควบคุมโดยศีลธรรม
ข้อถกเถียงเรื่องศีลธรรมกับกฎหมายข้างต้น โดยส่วนร่วมคงเป็นเรื่องของตะวันตก ซึ่งกล่าวได้ว่ามีที่มาสำคัญหนึ่งของการถกเถียงจากอิทธิพลของศาสนาคริสต์เตียนซึ่งมีความเคร่งคัดกวดขันในจริยธรรมหลาย ๆ ประการ
เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายของไทยแล้วส่วนใหญ่พฤติกรรมที่ถือว่าผิดศีลธรรม และไม่มีเหยื่อหรือผู้เสียหายโดยตรง ก็มักถูกควบคุมโดยกฎหมาย เช่นกัน ดังปรากฏอย่างใน
1. ในประมวลกฎหมายอาญา ได้แก่
มาตรา 287 : ความผิดฐานผลิตหรือเผยแพร่สิ่งลามก
มาตรา 301-305 : ความผิดฐานทำให้แท้งลูก
มาตรา 374 : ความผิดฐานเมาสุราในที่สาธารณะ
มาตรา 381-382 : ความผิดฐานกระทำทารุณต่อสัตว์หรือใช้สัตว์ทำงานจนเกินควร
มาตรา 388 : ความผิดฐานกระทำการอันควรขายหน้าต่อสาธารณะกำนัน
2. พ.ร.บ. ปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503
3. พ.ร.บ. ว่าด้วยการค้าหญิงและเด็กหญิง พ.ศ. 2471
4. พ.ร.บ. ปรามการกระทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ. 2471
5. พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2478
6. พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติด พ.ศ. 2519
7. พ.ร.บ ยาเสพย์ติดให้โทษ พ.ศ. 2522
8. พ.ร.บ วัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ.2485
9. พ.ร.บ สงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ พ.ศ. 2497
10. พ.ร.บ การปฏิบัติงานของชาติหรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม พ.ศ. 2497
11. พ.ร.บ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 เป็นต้น
ความสอดคล้องในหลาย ๆ เรื่องบัญญัติกฎหมายลงโทษความผิดหรืออาชญากรรมที่ไม่มีผู้เสียหาย
(Victimliss Gime) ระหว่างตะวันตกกับตะวันออกเช่นนี้ คงไม่ใช่ผลจากการรับเลียนแบบกฎหมายจากตะวันตกเท่านั้นแต่น่าจะเป็นการกระทำที่สอดคล้องกับมาตรฐานทางศีลธรรมแบบไทยๆ ด้วยซึ่งก็มิได้เหมือนกันทุกเรื่อง หาไม่แล้วเราคงมีกฎหมายไทยว่าด้วยความผิดฐานรักร่วมเพศ ความผิดฐานคู่สมรสมากกว่าหนึ่งคน (Bigamy) หรือความผิดฐานทางเพศสัมพันธ์อย่างผิดธรรมชาติ ก็ได้
ข้อสังเกต ในเรื่องความผิดเกี่ยวกับเพศ เป็นที่เห็นได้ชัดว่าปัจจัยทางวัฒนธรรมมีส่วนอย่างมากในการกำหนดความแตกต่างของกฎหมาย (บางลักษณะ) ในขณะที่วัฒนธรรมตะวันตกถือเคร่งครัดเรื่องคู่สมรสคนเดียว (Monogamy) วัฒนธรรมในอดีตของไทยกับเชิดชูระบบหนึ่งสามีหลายภรรยา อันปรากฏชัดเจนในกฎหมายตราสามดวง (พระอัยการลักษณะผัวเมีย) ที่สะท้อนวัฒนธรรมแบบกดขี่ทางเพศถือชายเป็นใหญ่, หญิงเป็นทรัพย์สินของชายในเรื่องรักร่วมเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์อย่างผิดธรรมชาติ ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหายร้ายแรงในวัฒนธรรมโบราณของไทย
ข้อยกเว้น มีอยู่บ้างในกฎหมายตราสามดวงที่บัญญัติความผิดฐาน “พ่อแม่ลูกพี่น้องยายหลาน ตาหลานลุง น้าหลานทำชู้กัน” โดยลงโทษลอยแพพวกนั้นในทะเลพร้อมให้พระสงฆ์สวดมนต์ทำพิธีขับไล่อุบาทว์จัญไร เนื่องจากถือเป็นการประพฤติผิดศีลธรรม และต่อมาภายหลังในยุคปฏิรูปกฎหมายให้แบบตะวันตกเท่านั้น ที่เราได้บัญญัติความผิดฐานร่วมประเวณีผิดธรรมดาของมนุษย์กับคนเพศเดียวกัน (รักร่วมเพศ) หรือกับสัตว์ ดังปรากฏอยู่ในกฎหมายลักษณะอาญา รศ.127 (มาตรา 242) ซึ่งความผิดฐานร่วมประเวณีผิดธรรมดาของมนุษย์ ผู้ยกร่างได้คิดลอกเอามาจากประมวลกฎหมายอาญาอินเดีย
แต่อย่างไรก็ตาม ความผิดฐานนี้ได้ถูกยกเลิกเมื่อยกร่างประมวลกฎหมายอาญาฉบับปัจจุบัน (ปี2499 และประกาศใช้ในปี 2500)ด้วยเหตุผลว่าเป็นเพียงเรื่องผิดศีลธรรมธรรมดาเท่านั้นไม่ถึงขั้นที่ควรจะมีบทบัญญัติห้ามในเมื่อต่าง ฝ่ายต่างยินยอมโดยสมัครใจถือเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวของบุคคลกฎหมายควรจะเอาผิดเมื่อใช้กำลังหรือขู่เข็ญหรือทำกับเด็กเท่านั้น นอกจากนี้ยังเห็นกันว่าการกระทำผิดธรรมชาตินี้ย่อมถูกรังเกียจเดียดฉันท์จากคนทั่วไปอันถือเป็นการ ลงโทษในตัวแล้วไม่จำเป็นต้องใช้บทลงโทษทางกฎหมายอีก
ข้อสังเกต ปัญหาการทำแท้ง เป็นปัญหาสังคมที่เป็นผลของปัญหาหลายประการ เช่น ปัญหาความยากจนความเสื่อมทางจริยธรรมและศีลธรรมปัญหาเศรษฐกิจการขาดความรู้และความเข้าใจ เรื่องเพศศึกษาและการวางแผนครอบครัวปัญหาเกี่ยวกับทัศนคติและ ค่านิยมของสังคมและปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของหญิงและสภาพของลูกในครรภ์ เป็นต้น
ทางออกของปัญหาต่อกรณีการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ถูกจำกัดขอบโดยกฎหมายโดยเฉพาะกฎหมายอาญาฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งบัญญัติขึ้นเมื่อ 49 ปีที่ แล้วด้วยเจตนารมณ์ที่จะคุ้มครองชีวิตในครรภ์มารดาและผดุงศีลธรรมอันดีของประชาชนเป็น สำคัญโดยเปิดชิ่งให้มีการยุติการตั้งครรภ์ หรือทำแท้งได้อันเกิดจากการกระทำความผิดทางเพศ ซึ่งต้องให้แพทย์เท่านั้นเป็นผู้ทำแท้ง
ข้อยกเว้นของกฎหมายดังกล่าว แม้จะเปิดช่องไว้สำหรับสตรีที่ตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์ แต่ก็เป็นการให้โอกาสแก่สตรีส่วนหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ดีจากข้อยกเว้นของกฎหมายนี้ ก็ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติทั้งต่อแพทย์และสตรีผู้ตั้งครรภ์ว่าแค่ไหนอย่างไรจึงถือว่าจำเป็นเพื่อสุขภาพของมารดา ใครเป็นผู้วินิจฉัยและใครจะวินิจฉัยที่ล่าช้า ก็จะไม่สอดคล้องกับสภาพของปัญหา ด้วยเหตุนี้ สตรีที่ตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์จึงต้องหันไปพึ่งการยุติการตั้งครรภ์โดยอาศัยเหตุและวิธีการที่ไม่ชอบด้วย กฎหมาย ที่เรียกกันว่า “การทำแท้งเถื่อน”ในความเป็นจริงไม่มีหญิงใดตั้งใจมีครรภ์เพื่อทำแท้งและไม่ว่ากฎหมายจะบัญญัติไว้ เข้มงวดเพียงใดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์จะยังคงมีอยู่คูสังคมต่อไปและการทำแท้งก็จะยังคงมีอยู่เช่นกันในขณะที่กฎหมายซึ่งเป็นมาตรการในการแก้ปัญหาของสังคมที่มีอยู่แทบจะไม่มีผลบังคับใช้แถมยังเป็นสิ่งที่ผลักดันให้มีการทำแท้งเถื่อนมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มสตรีที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจและการศึกษาต่ำซึ่งเป็นผลร้ายต่อสตรีผู้ทำแท้งนั้นทั้งทางร่างกายและจิตใจต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงรวมทั้งเป็นภาระของรัฐในการ รักษาผู้ป่วยที่มีโรคแทรกซ้อน
แง่คิดระหว่างกฎหมายบางลักษณะกับมาตรฐานทางศาสนา มาตรฐานทางศีลธรรมหรือวัฒนธรรม ซึ่งลักษณะเฉพาะในแต่ละสังคม ข้อสรุปวิจารณ์จากบางแนวคิดทางการเมืองที่ว่า กฎหมายเป็นเพียงผลสะท้อนหรือผลผลิตของระบบเศรษฐกิจ (นิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา +ทฤษฎีมาร์กซิสต์) ซึ่งอาจไม่สามารถอธิบายถึงความสัมพันธ์อันเป็นจริงดังกล่าวได้จุดนี้เองเป็นตัวอย่างเตือนใจอันดีให้ระมัด ระวังแนวโน้มที่มักมีการยึดถือเอาทฤษฎีหรือแนวความคิดทางการเมืองบางสำนักมาใช้อย่างเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไปโดยไม่คำนึงถึงภาวะวิสัยของสังคมประกอบด้วยบริบทต่างๆซึ่งมีลักษณะเฉพาะรวมอยู่ด้วยในแง่นี้ ปัญหาการควบคุมศีลธรรม โดยอาศัยกฎหมายจึงไม่เพียงแต่ต้องพิจารณาประเด็นในแง่หลักการเท่านั้น หากยังต้องคำนึงถึงเหตุปัจจัยที่สนับสนุนหรือขัดขวางในเชิงวัฒนธรรมต่าง ๆ ด้วยคำอธิบายของสำนักประวัติศาสตร์เกี่ยวด้วยเรื่อง “จิตวิญญาณ” ของคนแต่ละชาติแม้จะมีประเด็นวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างน้อยก็เป็นข้อเตือนใจที่ดีสำหรับประเด็นปัญหานี้